วิจัยกรุงศรี เผยเศรษฐกิจยังคงได้แรงหนุนสำคัญจากการเติบโตของภาคท่องเที่ยวและส่งออก ขณะที่ทางการอนุมัติมาตรการช่วยเหลือภาระค่าครองชีพเพิ่มเติม
วิจัยกรุงศรีระบุว่ามาตรการบรรเทาผลกระทบจากวิกฤตราคาพลังงานและมาตรการสนับสนุนการท่องเที่ยวในประเทศ อาจช่วยลดทอนผลได้บางส่วน ล่าสุดคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบมาตรการลดค่าครองชีพรอบใหม่ เป็นเวลา 3 เดือน เริ่มตั้งแต่เดือนกรกฎาคม - กันยายน 2565 เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตพลังงาน ซึ่งมีทั้งการต่ออายุมาตรการเดิมที่จะสิ้นสุดลงและมาตรการใหม่ที่เพิ่มเติม อาทิ i) ขยายเวลาการตรึงราคาขายปลีก NGV 15.59 บาทต่อกิโลกรัม และคงราคาไว้ที่ 13.62 บาทต่อกิโลกรัม สำหรับผู้ขับขี่แท็กซี่มิเตอร์ภายใต้โครงการลมหายใจเดียวกัน ii) ขยายเวลาการช่วยเหลือค่าก๊าซหุงต้มแก่ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและผู้ค้าหาบเร่แผงลอยที่ถือบัตรฯ iii) อุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลร้อยละ 50 ในส่วนที่ราคาขายสูงกว่า 35 บาทต่อลิตร และ iv) ขอความร่วมมือไปยังกลุ่มโรงกลั่นน้ำมันนำส่งกำไรค่าการกลั่น เพื่อนำมาช่วยพยุงราคาน้ำมัน นอกจากนี้ ครม.ยังเห็นชอบมาตรการเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวในประเทศ ไดแก่ i) ขยายโครงการเราเที่ยวด้วยกันเฟส 4 เพิ่มเติมอีก 1.5 ล้านสิทธิ์ สิ้นสุดเดือนตุลาคม (เดิมพฤษภาคม) และ ii) มาตรการด้านภาษี โดยให้ธุรกิจสามารถนำค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการอบรม สัมมนาหรือการจัดแสดงงานต่างๆ มาหักลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ 2 เท่าสำหรับเมืองรอง และ 1.5 เท่าในจังหวัดอื่นๆ
มาตรการบรรเทาความเดือดร้อนล่าสุดค่อนข้างเน้นการช่วยเหลือไปยังเฉพาะกลุ่มมากขึ้น และคาดว่าจะลดทอนผลกระทบได้บางส่วน เนื่องจากแรงกดดันจากแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อที่ยังเพิ่มขึ้นในระดับสูง ตามราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน รวมถึงราคาสินค้าในประเทศที่เตรียมจะปรับขึ้น อาทิ ราคาก๊าซหุงต้ม ค่าไฟฟ้าผันแปร ค่าเดินทางและขนส่ง และสินค้าอุปโภคบริโภค (บะหมี่สำเร็จรูป ผงซักฟอก) กอปรกับค่าเงินบาทที่ผันผวนในทิศทางอ่อนค่าซึ่งจะกระทบต่อราคาสินค้าวัตถุดิบนำเข้าและต้นทุนการผลิตเพิ่ม ทั้งนี้ ท่ามกลางหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง กำลังซื้อของภาคครัวเรือนอ่อนแอและรายได้ที่แท้จริงลดลง ความแตกต่างของตะกร้าการบริโภคชี้ว่ากลุ่มผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลางมีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบหนักสุดจากราคาอาหารและการขนส่งที่สูงขึ้น เนื่องจากมีสัดส่วนค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคในหมวดดังกล่าวสูง
ภาคท่องเที่ยวและส่งออกยังเป็นปัจจัยหนุนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ มูลค่าการส่งออกในเดือนพฤษภาคมขยายตัวดีต่อเนื่องที่ 10.5% YoY จาก 9.9% เดือนก่อน และดีกว่าที่ตลาดคาดไว้ที่ 6.7% ด้านจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาไทยในเดือนพฤษภาคมมีทั้งสิ้น 5.21 แสนคน เพิ่มขึ้นจาก 2.93 แสนคนในเดือนก่อน โดยนักท่องเที่ยวที่เข้ามาไทยสูงสุด ได้แก่ อินเดีย มาเลเซีย สิงคโปร์ สหรัฐฯ และอังกฤษ สำหรับในช่วง 5 เดือนแรกของปี (มกราคม-พฤษภาคม) มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติรวม 1.31 ล้านคน
ปัจจัยบวกจากทางการทยอยผ่อนคลายข้อจำกัดสำหรับการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ นับตั้งแต่ต้นเดือนพฤษภาคมที่มีการยกเลิกระบบ Test & Go แก่ผู้เดินทางที่ได้รับวัคซีนครบ ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายนกว่า 70% และล่าสุดทางการประกาศเตรียมยกเลิกไทยแลนด์พาสและเปิดประเทศเต็มรูปแบบมากขึ้นโดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม คาดว่าจะยิ่งช่วยหนุนให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยมากขึ้นจากค่าเฉลี่ยในช่วงต้นเดือนมิถุนายนประมาณวันละ 2-2.5 หมื่นคน วิจัยกรุงศรีได้ปรับเพิ่มคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีนี้มีโอกาสที่จะแตะระดับ 8 ล้านคน (จากเดิมคาด 5.5 ล้านคน) นอกจากนี้ สัญญาณเชิงบวกจากการส่งออกที่ยังเติบโตได้ดีกว่าคาดแม้ในช่วงที่เหลือของปีอาจมีแนวโน้มชะลอลงบ้างตามอุปสงค์ของประเทศคู่ค้า อย่างไรก็ตาม ทั้งภาคส่งออกและภาคท่องเที่ยวนับเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญของไทยในช่วงที่เหลือของปี