เมื่อเทคโนโลยีสำรองข้อมูลบน “คลาวด์” ทำลายสิ่งแวดล้อม

   เมื่อ : 22 มิ.ย. 2564
เทคโนโลยีการสำรองข้อมูลบนคลาวด์

หรือที่เรียกว่า คลาวด์คอมพิวติ้ง (Cloud computing) เริ่มมีใช้ตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1960 แต่ได้รับการพัฒนาให้ใช้ในเชิงพาณิชย์ช่วงปลายทศวรรษ 1990 การทำงานของคลาวด์ก็คือ รวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ และจัดเก็บข้อมูลในศูนย์ข้อมูลที่ใช้ร่วมกันได้ทั่วโลก

ตัวเลขในปี 2018 ประเมินว่าผู้คนกว่า 3.6 พันล้านคน กำลังเข้าถึงบริการคลาวด์คอมพิวติ้งมากมาย ซึ่งผู้ให้บริการที่เป็นที่รู้จักก็อย่างเช่น Google Drive, Office365, Oracle, Netflix และ Dropbox ส่วนผู้ให้บริการคลาวด์คอมพิวติ้งรายใหญ่ที่สุดคือ Amazon Web services (AWS), Microsoft Azure และ Google Cloud Platform

การอัปโหลดข้อมูลขึ้นไปสำรองไว้บนคลาวด์คอมพิวติ้ง จำเป็นอย่างมากที่ต้องใช้ “อินเทอร์เน็ต” อย่างไรก็ดี การพูดถึงอินเทอร์เน็ตมันก็ค่อนข้างที่จะนามธรรม ตรงที่เรารู้สึกว่าเรามองไม่เห็นตัวของอินเทอร์เน็ต (แต่รู้ว่ามันมี) ในขณะที่ถ้าเป็นหนังสือ แผ่นดีวีดี แฟลชไดร์ฟ เรามองเห็นรูปชัดเจน จับต้องได้ ฉะนั้น เราอาจจะไม่ทันได้คิดว่าข้อมูลที่อัปโหลดขึ้นคลาวด์นั้นไม่สามารถล่องลอยหรือมีสภาพเป็นอากาศ แต่มันจำเป็นต้องใช้พื้นที่จริง ๆ บนโลกในการจัดเก็บข้อมูลอยู่ดี ตรงนี้นี่เองที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม

เมื่อเราจัดเก็บไฟล์ข้อมูลไว้บนคลาวด์ นั่นหมายถึงเรากำลังจัดเก็บไฟล์แบบออนไลน์ ใครก็ตามที่ต้องการจะสำรองหรือเก็บข้อมูลของตนเอง ก็สามารถใช้บริการจากผู้ให้บริการทั้งหลายได้ มีทั้งแบบไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่ได้พื้นที่จำกัด (ซึ่งก็มากอยู่) หรือถ้าเป็นบริษัทหรือองค์กรใหญ่ ๆ ที่มีข้อมูลมหาศาล อาจต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเพื่อให้ได้พื้นที่สำหรับจัดเก็บข้อมูลเพิ่มขึ้น

การใช้งานคลาวด์เก็บข้อมูล

เมื่อเราอัปโหลดอะไรบางอย่างขึ้นคลาวด์ผ่านบริการของผู้ให้บริการ ระบบจะส่งไฟล์นั้นผ่านอินเทอร์เน็ตไปยังเซิร์ฟเวอร์ ซึ่งเป็นระบบคอมพิวเตอร์ที่มีความสามารถในการประมวลผลที่สูงมาก แน่นอนว่าเซิร์ฟเวอร์คือสิ่งที่มีอยู่จริงและจับต้องได้ ผู้ให้การบริการคลาวด์จะมีเซิร์ฟเวอร์นับหมื่นนับแสนเพื่อไว้ใช้เก็บข้อมูลของผู้ใช้บริการ จนอาจเรียกว่า “เซิร์ฟเวอร์ฟาร์ม” เพราะมันเป็นแหล่งรวมคอมพิวเตอร์ศักยภาพสูงไว้มากมายเหมือนเป็นฟาร์ม เป็นศูนย์ข้อมูลที่ใช้ร่วมกันได้ทั่วโลก

เทคโนโลยีนี้ถึงจะเรียกว่าคลาวด์ แต่คลาวด์คอมพิวติ้งก็ไม่ใช่ก้อนเมฆบนชั้นบรรยากาศ และข้อมูลต่าง ๆ ก็ไม่ได้อยู่ในอากาศด้วย ยังต้องอาศัยพื้นที่ที่มีหน่วยความจำขนาดยักษ์ในการจัดเก็บ แม้ว่าคลาวด์จะไม่ใช่สิ่งที่สามารถมองเห็นได้ ทว่าเราก็ยังพอใจที่จะใช้มันเป็นที่สำรองข้อมูลของเรา เมื่อรู้สึกว่าโทรศัพท์ของเรามีรูปภาพมากเกินไป คอมพิวเตอร์ที่ใช้อยู่มีไฟล์เยอะเกินไป การใช้คลาวด์เป็นตัวช่วยจึงเป็นที่นิยมมากขึ้น ในยุคที่ทุกอย่างเริ่มกลายสภาพเป็นดิจิทัล

ข่าวอื่นๆ ที่น่าสนใจ