ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ชู “การทำงานเป็นทีม” คือหัวใจหลักในการประสบความสำเร็จ ยกวัฒนธรรมองค์กร (Lalin DNA) ช่วยผลักดันสู่เป้าหมายตลอด 37 ปี
นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ภายใต้คอนเซ็ปต์ “บ้านที่ปลูกบนความตั้งใจที่ดี” เปิดเผยว่า กลยุทธ์การสร้างทีม (Team Building) ถือเป็นหนึ่งแนวทางสำคัญที่บริษัทฯ นำมาใช้ในการขับเคลื่อนองค์กรตลอดระยะเวลา 37 ปี โดยพิสูจน์ให้เห็นว่าการทำงานในรูปแบบนี้มีความจำเป็นอย่างมากต่อการผลักดันศักยภาพของบุคลากรทุกส่วนในองค์กร นอกจากนี้ยังช่วยส่งเสริมประสิทธิภาพด้านการประสานงานระหว่างหน่วยงานภายในไปยังกลุ่มลูกค้าให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด ส่งผลต่อศักยภาพที่แข็งแกร่งของบริษัทในองค์รวมด้วย โดยการสร้างทีมที่ดีนั้นต้องเริ่มจากส่วนพื้นฐานระดับแผนก ไปจนถึงส่วนงานต่างๆ ที่ใหญ่ขึ้นตามลำดับ เพราะจะทำให้โครงสร้างของการทำงานร่วมกันเป็นไปอย่างสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น
”ตลอด 37 ปีที่ผ่านมา ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ได้กำหนดนโยบายในการพัฒนาบุคลากรและการสร้างทีมให้มีความแข็งแกร่ง โดยเน้นการพัฒนาในเรื่องการดึงศักยภาพการทำงานของบุคลากรนั้นๆ ออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อช่วยส่งเสริมและพัฒนางานให้ออกมามีประสิทธิภาพ พร้อมส่งมอบผลงานที่มีคุณภาพไปยังผู้บริโภคหรือหน่วยงานภายในต่างๆ และมีการส่งเสริมให้ทำงานในรูปแบบของทีม มีการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน (Teamwork) ซึ่งการทำงานในรูปแบบนี้เป็นหนึ่งในวัฒนธรรมองค์กร (Lalin DNA) ที่กำหนดเป้าหมายไว้อย่างชัดเจน โดยจะช่วยมุ่งเน้นในเรื่องของบุคลากรในบริษัทฯ ให้เข้าใจถึงความสำคัญของรูปแบบการทำงานที่เป็นทีม และการพัฒนาตัวเองให้เป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยยกระดับการทำงานให้ก้าวกระโดดมากยิ่งขึ้น ปัจจุบันการพัฒนาทีมให้สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วนั้น ถือเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งต่อบริบทในการดำเนินธุรกิจยุคปัจจุบัน เพราะต้องผ่านมุมมองที่เปิดกว้าง มุ่งเน้นการเรียนรู้ เฟ้นหานวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อนำมาปรับใช้ให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงานที่ดียิ่งขึ้นอยู่เสมอ” นายชูรัชฏ์ กล่าวถึงแนวทางการส่งเสริมศักยภาพบุคลากรด้วยกลยุทธ์การสร้างทีม
”การพัฒนาบุคลากรและสร้างทีม มีส่วนสำคัญอย่างมากต่อการปฏิรูปให้องค์กรมีการปรับตัวตอบสนองที่รวดเร็วและเพิ่มพูนศักยภาพในการแข่งขัน โดยการกำหนดนโยบายหลักให้สร้างแผนงานการฝึกอบรมเฉพาะแต่ละสายงานนั้นมีความจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะต้องเปิดโอกาสให้พนักงานทุกระดับได้เข้าร่วมอบรม โดยหลักสูตรการฝึกอบรมที่ ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ พัฒนาขึ้นนั้นประกอบด้วยหลักสูตรภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ ที่เน้นการสร้างและหล่อหลอมวัฒนธรรมองค์กร การส่งเสริมทักษะการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ (Coaching) ซึ่งถือเป็นพื้นฐานที่สำคัญยิ่งในการเริ่มต้น และการพัฒนาในรูปแบบการมอบหมายงาน OJT (On the Job Training) หรือ การฝึกอบรมพนักงานเพื่อเพิ่มทักษะความรู้ ช่วยให้พนักงานสามารถฝึกปฏิบัติ และแก้ไขปัญหาในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงได้อย่างทันท่วงที นอกจากนี้ยังเน้นการปรึกษาหาทางออกร่วมกันเพื่อให้ปัญหานั้นมีการแก้ไขได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ได้กำหนดนโยบายและแผนการสร้างทีมอย่างเป็นรูปธรรม มีการกำหนด ทีมงาน ปรับโครงสร้างของหน่วยงานให้สอดคล้องกับการทำงาน มีการกำหนดเป้าหมายร่วมกันของทีมงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้บรรลุเป้าหมายร่วมกัน การจัดการสื่อสารภายในองค์กรเพื่อลดปัญหาด้านการติดต่อสื่อสารทั้งภายในสายงาน ระหว่างสายงาน และภายนอกองค์กร ในส่วนของแผนงานการจัดกิจกรรม เพื่อสนับสนุนการสร้างทีมนั้น มีทั้งกิจกรรมหลักสำหรับพนักงานที่อยู่ภายในสายงานให้ได้ทำความรู้จักกันผ่านหลักสูตรการอบรม และการจัดกิจกรรมพัฒนาศักยภาพนอกสถานที่ เพื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยงานและลดปัญหาในเรื่องการติดต่อสื่อสารที่ผิดพลาด รวมถึงกิจกรรมนอกรูปแบบ ที่นำเสนอผ่านกิจกรรมสันทนาการ โดยนำเสนอในรูปแบบของการประกวดผลงานนวัตกรรมทั้งแบบเป็นกลุ่มที่เป็นสายงานเดียวกันหรือข้ามสายงาน รวมถึงกิจกรรมที่ช่วยสร้างความสัมพันธ์ในองค์กรให้เกิดความรักและความสามัคคีซึ่งกันและกัน อาทิ กิจกรรมวันสงกรานต์ กิจกรรมวันแม่ กิจกรรมกีฬาสีประจำปี (Sport Day) งานเลี้ยงสังสรรค์ประจำปี กิจกรรม Happy Hour ที่จะจัดขึ้นในทุกไตรมาสของปี ตลอดจนกิจกรรมเพื่อสังคม หรือ CSR (Corporate Social Responsibility) ที่จะช่วยปลูกฝังให้พนักงานได้เกิดการแบ่งปันและอยู่ร่วมกันกับสังคมได้อย่างมีความสุข โดยบริษัทฯ ได้จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี เป็นต้น
”การที่บริษัทฯ มีทีมงานที่มีศักยภาพในการทำงาน และมีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ย่อมทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานนั้นเพิ่มสูงมากขึ้นได้ อีกทั้งการมีทีมที่ดีภายใต้หลักธรรมาภิบาลและการบูรณาการร่วมกัน จะทำให้เกิดการตรวจสอบซึ่งกันและกัน ทำให้ช่วยลดปัญหาที่องค์กรต้องเผชิญนั้นน้อยลง ส่งผลให้ลูกค้าได้รับสินค้าที่มีคุณภาพ ในส่วนของบริษัทฯ ที่เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เมื่อสามารถควบคุมคุณภาพและบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผลกำไรย่อมเพิ่มมากขึ้นและส่งให้มีการพัฒนากิจการ นำเม็ดเงินมาพัฒนาทักษะต่างๆ และขยายธุรกิจได้อย่างยั่งยืนต่อไปได้ในอนาคต” นายชูรัชฏ์ กล่าวสรุป