ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ โชว์ผลประกอบการปี 65 มียอดรับรู้รายได้ทั้งปี 6239.13 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1271.46 ล้านบาท พร้อมจ่ายปันผลสำหรับปี 65 รวม 0.64 บาท/หุ้น

   เมื่อ : 01 มี.ค. 2566

บริษัท  ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด(มหาชน)  ประกาศผลประกอบการปี 2565 มียอดรับรู้รายได้ที่ 6239.13 ล้านบาท ปรับลดลงจากปีก่อนหน้าที่ 5.3%   ทั้งนี้บริษัทยังคงบริหารจัดการต้นทุนต่างๆ ได้ดี  แม้ในปี 2565 จะเป็นปีที่อัตราเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นทั่วโลก กระทบต่อต้นทุนของภาคธุรกิจอย่างกว้างขวาง  โดยบริษัทยังคงความสามารถในการทำกำไร โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นในระดับที่สูงกว่า 39%  ในขณะที่ยังคงบริหารจัดการค่าใช้จ่ายทั้ง ค่าใช้จ่ายในการขาย  ค่าใช้จ่ายในการบริหาร ตลอดจนค่าใช้จ่ายทางด้านการเงิน ได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม  ส่งผลให้ในปี 2565 นี้ บริษัทมีกำไรสุทธิที่ 1271.5 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิที่ 20.4%  โดยที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท มีมติให้เสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น  พิจารณาจ่ายปันผลทั้งปีที่ 0.64 บาท/หุ้น

 

นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ภายใต้แนวคิด “บ้านที่ปลูกบนความตั้งใจที่ดี” กล่าวถึงภาพรวมเศรษฐกิจในปี 2565 ว่าเป็นปีที่มีปัจจัยลบมากมายเกิดขึ้น   โลกต้องเผชิญกับความเสี่ยงทางด้านภูมิรัฐศาสตร์  การแย่งชิงความเป็นผู้นำโลกของประเทศมหาอำนาจ  สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน  ระดับราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์เร่งตัวขึ้น  ความเสี่ยงด้าน Supply Chain Disruption   อัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้นทั่วโลก จนเป็นอัตราเงินเฟ้อที่สูงที่สุดในรอบหลายสิบปี   ทำให้ธนาคารกลางหลายประเทศจำเป็นต้องดำเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวด  FED มีการเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่รวดเร็วและแรงจนอัตราดอกเบี้ยขึ้นไปอยู่ในระดับสูงสุดในรอบกว่า 14 ปี รวมถึงธนาคารกลางหลายประเทศที่ต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ยตาม  จนอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกปรับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว กระทบต่อไปยังต้นทุนของภาคธุรกิจ และกำลังซื้อของภาคประชาชน    

 

สำหรับผลประกอบการของบริษัทในปี 2565 ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ไม่สดใสนัก  บริษัทฯ สามารถทำยอดรับรู้รายได้ที่ 6239.13 ล้านบาท ซึ่งปรับลดลงจากปีก่อนหน้า 5.3%   อย่างไรก็ดีในสถานการณ์ที่เงินเฟ้อเร่งตัว  ราคาสินค้าต่างๆ ปรับเพิ่มขึ้น  แต่บริษัทยังคงสามารถบริหารจัดการต้นทุนด้านต่างๆ ได้ดี  โดยมีอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ที่ 39.1%  ดีกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ระดับ 33% ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดรับรู้รายได้ (SG&A/Revenues) ในปี 2565 ของบริษัทอยู่ที่ระดับ 10%  ดีกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดซึ่งอยู่ที่ราว 15%   ในส่วนของต้นทุนการเงินบริษัทมีการออกหุ้นกู้ไปในช่วงต้นปีก่อนที่อัตราดอกเบี้ยจะเร่งตัวขึ้น  รวมถึงการบริหารจัดการเงินทุนอย่างเหมาะสม ทำให้บริษัทมีต้นทุนทางการเงินในระดับที่ต่ำ ทั้งนี้ในปี 2565 บริษัทมีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 1271.5 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ที่ 20.4% ดีกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ราว 12%

 

สำหรับแผนการขยายธุรกิจในปี 2565 ที่ผ่านมา บริษัทสามารถขยายเปิดโครงการใหม่ได้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ 11 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 8500 ล้านบาท  และเตรียมขยายโครงการต่อเนื่องในปี 2566 นี้อีก 10 – 12 โครงการ มูลค่ารวม 7000 – 8000 ล้านบาท  โดยตั้งเป้าหมายยอดขายสำหรับปี 2566 นี้ไว้อยู่ที่ 8600 ล้านบาท และยอดรับรู้รายได้ที่ 6850 ล้านบาท หรือขยายตัวราว 10% ในส่วนสถานะทางการเงิน บริษัทมีการบริหารจัดการสภาพคล่องทางการเงินอย่างรัดกุม  มีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง   โดย ณ สิ้นปี 2565 แม้บริษัทจะมีการขยายธุรกิจอย่างมาก  แต่ยังคงมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) เพียง 0.55 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ราว 1.4 เท่า  และมีระดับหนี้สินสุทธิต่อทุน (Net D/E Ratio) เพียง 0.29 เท่า

 

ทั้งนี้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ได้มีมติเห็นชอบนำเสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นในการจัดสรรกำไรสำหรับปี 2565 ให้กับผู้ถือหุ้น โดยเสนอให้จ่ายเงินปันผลรวมทั้งปีในอัตราหุ้นละ 0.64 บาท ซึ่งหากคิดที่ราคาหุ้นปัจจุบัน คิดเป็น Dividend Yield อยู่ที่ระดับราว 7% โดยบริษัทได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้วที่ 0.305 บาท ดังนั้นจะเหลือจ่ายเพิ่มเติมอีก 0.335 บาทต่อหุ้น  โดยได้กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 16 มีนาคม 2566 (หรือขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 15 มีนาคม 2566) และกำหนดจ่ายปันผลในวันที่ 19 พฤษภาคม 2566

ข่าวอื่นๆ ที่น่าสนใจ