วีซ่า อัปเดตโร้ดแมปเพื่อเสริมความปลอดภัยของระบบการชำระเงินในประเทศไทย

   เมื่อ : 06 ธ.ค. 2565

วีซ่า ผู้นำการให้บริการการชำระเงินดิจิทัลระดับโลก ประกาศมาตรการล่าสุดด้านความปลอดภัยของการชำระเงินสำหรับประเทศไทย เพื่อปกป้องผู้บริโภค ผู้ประกอบธุรกิจ และระบบนิเวศทางการชำระเงิน ให้ปลอดภัยจากอาชญากรรมไซเบอร์

 

มาตรการความปลอดภัยใหม่ๆ ที่ครอบคลุมนี้ เป็นส่วนหนึ่งของโร้ดแมปที่วีซ่าวางแผนงานไว้สำหรับประเทศไทย ซึ่งได้ออกแบบมาเพื่อยกระดับการป้องกันสำหรับทั้งการทำธุรกรรมทางออนไลน์ และ ณ จุดรับชำระในร้านค้า

 

พิภาวิน สดประเสริฐ ผู้จัดการวีซ่า ประจำประเทศไทย กล่าวว่า “ที่วีซ่า ความปลอดภัยถือเป็นสิ่งที่เราให้ความสำคัญสูงสุด และเรามีการลงทุนมหาศาลเพื่อยกระดับมาตรฐานด้านความปลอดภัย เพื่อให้ผู้บริโภคและผู้ประกอบธุรกิจมั่นใจว่าพวกเขาจะได้รับการปกป้องในทุกๆ ธุรกรรมการชำระเงินผ่านเครือข่ายของวีซ่า ในปัจจุบันเมื่อภูมิทัศน์ทางการชำระเงินเปลี่ยนแปลง ภัยคุกคามต่างๆ ก็มีการปรับตัวตามด้วยเช่นกัน นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เรายินดีที่จะนำเสนอโร้ดแมปด้านความปลอดภัยที่ระบุถึงมาตรการและขั้นตอนต่างๆ ที่วีซ่าจะร่วมทำงานกับพันธมิตรของเราเพื่อเดินหน้าทำให้ระบบนิเวศทางการชำระเงินของประเทศไทยปลอดภัยยิ่งขึ้น”

 

นวัตกรรมด้านความปลอดภัยของวีซ่า ได้รับการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง โดยใช้เทคโนโลยีที่ตรวจสอบข้อมูล  ลดการฉ้อโกง และป้องกันระบบนิเวศทางการชำระเงิน  ในห้าปีที่ผ่านมา วีซ่าได้ลงทุนกว่าเก้าพันล้านเหรียญสหรัฐเพื่อยกระดับประสิทธิภาพด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์และการรับมือกับการฉ้อโกง

 

วีซ่า ใช้โซลูชันที่ขับเคลื่อนด้วยระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) และข้อมูลในการระบุตัวตน สอบสวน ขัดขวาง และป้องกันการโจมตีระบบนิเวศทางการชำระเงินของโลก นอกจากนั้นยังสามารถนำเสนอกลยุทธ์ด้านความปลอดภัย และแผนการป้องกันที่ครอบคลุมเพื่อรับมือกับภัยคุกคามในรูปแบบใหม่ๆ

 

หนึ่งในโซลูชันที่สำคัญ คือ Visa Advanced Authorisation เป็นเทคโนโลยีที่วิเคราะห์องค์ประกอบข้อมูลมากกว่า 500 ข้อมูลเพื่อให้คะแนนความเสี่ยงในแต่ละธุรกรรม ซึ่งในปีงบประมาณ 2564[1] ที่ผ่านมาช่วยให้ธนาคารต่างๆ ทั่วโลกสามารถป้องกันการฉ้อโกงได้กว่า 26 พันล้านเหรียญสหรัฐ

 

ปัจจุบันผู้บริโภคในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ใช้ชีวิตแบบไลฟ์สไตล์ดิจิทัลเพิ่มขึ้น ดังนั้นการใช้ข้อมูลไบโอเมตริกซ์ต่างได้รับความนิยมขึ้น อาทิ การใช้ลายนิ้วมือ การจดจำใบหน้า และการให้ข้อมูลที่ใช้ยืนยันตัวตนในรูปแบบดิจิทัลเมื่อทำกิจกรรมออนไลน์

 

ปัจจุบันกว่า 75 เปอร์เซ็นต์ของผู้บริโภคในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รู้จักการชำระเงินด้วยไบโอเมตริกซ์ โดยมากกว่าครึ่ง (53%) เชื่อว่าเป็นวิธีการชำระเงินที่ปลอดภัยกว่า ขณะที่ความเป็นเจ้าของข้อมูลตัวตนดิจิทัลปัจจุบันของภูมิภาคนี้อยู่ในระดับต่ำ (18%) แต่กระนั้นกลุ่มผู้ที่ไม่ได้เป็นเจ้าของข้อมูลตัวตนดิจิทัลมีความรู้จักในระดับสูง (71%) และความสนใจในการชำระเงินด้วยไบโอเมตริกซ์ (63%) ก็สูงเช่นกัน[2]

 

“เมื่อมองถึงอนาคตด้านความปลอดภัย วีซ่าเชื่อว่าการให้ความสำคัญกับการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของผู้บริโภค และการยืนยันตัวตนผ่านระบบดิจิทัล จะเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยป้องกันภัยคุกคามใหม่ๆ ในปัจจุบัน ที่การค้าขายมุ่งสู่ช่องทางดิจิทัลมากขึ้น นอกจากนี้เรายังอยากกระตุ้นให้ผู้เล่นในอุตสาหกรรมการชำระเงินใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเหล่านี้เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการปกป้องผู้บริโภค และเสริมสร้างให้เศรษฐกิจประเทศไทยมั่นคงและปลอดภัยยิ่งขึ้น” พิภาวิน กล่าวเสริม

 

วีซ่ามีทีมผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ทั่วโลกกว่า 1000 คน ที่ใช้เวลาตลอด 24 ชั่วโมงในการตรวจจับ ป้องกันการฉ้อโกงแบบเรียลไทม์ และวิเคราะห์ธุรกรรมทางการเงินเป็นล้านๆ รายการในทุกๆ วัน นอกจากนั้น วีซ่ายังใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถระบุรูปแบบการฉ้อโกงที่ไม่สามารถตรวจจับได้โดยมนุษย์ และเตือนให้สถาบันการเงิน และร้านค้าทราบก่อนที่ธุรกรรมฉ้อโกงจะเกิดขึ้น

 

โร้ดแมปด้านความปลอดภัยของวีซ่าได้ระบุขั้นตอนที่วีซ่าจะร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับระบบนิเวศทางการชำระเงินในประเทศไทย ได้แก่ 

 

1. ขับเคลื่อนการใช้เทคโนโลยีเพิ่มเสริมสร้างความปลอดภัย

2. สร้างความปลอดภัยในการชำระเงินรูปแบบดิจิทัล

3. เสริมสร้างความความยืดหยุ่นของระบบนิเวศการชำระเงิน

4. ป้องกันการโจมตีแบบสุ่ม

5. ยกระดับความพร้อมของผู้เล่นในระบบนิเวศให้รับมือกับอาชญากรรมทางไซเบอร์

6. ป้องกันผู้บริโภคและผู้ประกอบธุรกิจจากการเป็นเหยื่อของผู้ฉ้อโกง


 

[1] วีซ่า ป้องกันการฉ้อโกงได้ 26000 ล้านเหรียญสหรัฐโดยประมาณจากการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) https://s29.q4cdn.com/385744025/files/doc_downloads/Visa-Inc_-Fiscal-2021-Annual-Report.pdf

 

[2] การศึกษาเรื่องทัศนคติการชำระเงินของผู้บริโภคประจำปี 2564 ของวีซ่า

ข่าวอื่นๆ ที่น่าสนใจ