SCB WEALTH จัดสัมมนาลูกค้า First มุ่งรับมือเงินเฟ้อ-เศรษฐกิจถดถอย

   เมื่อ : 12 ก.ย. 2565

เจาะกลยุทธ์ลงทุนแห่งอนาคตInnovest X ชูธีมเปิดเมืองBlackRock – Schrodersเน้นหุ้นใส่ใจสังคมสิ่งแวดล้อม 

 

SCB WEALTH จัดสัมมนา SCB First Investment Outlook 2022 : Navigating  Through the Recession & Inflation Risk  ให้แก่กลุ่มลูกค้า First  เพื่อรับมือเงินเฟ้อและเศรษฐกิจถดถอย  SCB CIO คาดเงินเฟ้อผ่านจุดสูงสุดแล้ว จาก Core Inflation ที่ปรับลดลง และกนง.ไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยแรง หวั่นปัญหาหนี้ครัวเรือนซ้ำเติมเศรษฐกิจ  ด้าน Innovest X ประเมินเศรษฐกิจไทย ไตรมาส3-4  ขยายตัวไม่มาก GPD ปีนี้อยู่ที่ประมาณ 3% หุ้นกลุ่มที่มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นดีในอนาคตรับอานิสงค์เปิดเมืองเปิดประเทศ ดอกเบี้ยและเงินเฟ้อปรับขึ้น ได้แก่ กลุ่มท่องเที่ยว ประกัน อิเล็กทรอนิกส์  อสังหาริมทรัพย์ ธนาคาร สื่อสาร ไฟแนนซ์ และ กลุ่ม Transformation เช่น รถไฟฟ้า ส่วน  BlackRock และ Schroders เน้นธีมลงทุนด้านพลังงานสะอาด  หุ้นกลุ่มยั่งยืน    Circular  Economy และ  Health Care 

               

นายศรชัย  สุเนต์ตา  ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่  ผู้บริหารสายงาน Investment  Office  and Product   ธนาคารไทยพาณิชย์  จำกัด (มหาชน ) เปิดเผย ในงานสัมมนา “SCB First  Investment Outlook   2022 : Navigating  Through the Recession & Inflation Risks ” ให้แก่กลุ่มลูกค้า First  ว่า  อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐยังอยู่ในระดับสูง  เนื่องจาก ประชาชนเริ่มกลับใช้จ่ายมากขึ้นหลังสถานการณ์โควิดเริ่มคลี่คลาย  ทำให้ภาคบริการและการผลิต ประสบปัญหาขาดแคลนแรงงาน  จึงทำให้ค่าแรงปรับตัวสูงขึ้น  ส่งผลต่อราคาสินค้าต่างๆปรับตัวสูงขึ้น และราคาพลังงานที่อยู่ในระดับสูง จากผลกระทบของสงครามรัสเซีย – ยูเครน และความต้องการใช้พลังงานที่สูงขึ้น แม้ช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เงินเฟ้อของสหรัฐ เริ่มปรับตัวลง จากปัจจัยราคาอาหารและพลังงานที่ลดลง  โดย SCB CIO  คาดว่าเงินเฟ้อในสหรัฐผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว แต่ไม่ได้ปรับลดลงเร็ว   ซึ่งพิจารณาจาก Core  inflation  ประกอบด้วย   ราคาที่อยู่อาศัย   ค่าเช่าบ้าน  ค่าขนส่ง หรือราคารถยนต์  เริ่มปรับตัวลดลงจากการที่สหรัฐใช้ยาแรงในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย  ทำให้อุปสงค์ลดลงและคาดว่าเงินเฟ้อจะทยอยปรับตัวลดลงช้าๆ จนกลับมาอยู่ที่ระดับ2%ในปี 2024   ส่วนยุโรป ทิศทางเงินเฟ้อยังไม่ผ่านจุดสูงสุด เนื่องจากราคาพลังงานและอาหารที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยได้รับผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ทั้งนี้  การขยายตัวทางเศรษฐกิจของยุโรป หากขาดแคลนพลังงาน จะส่งผลให้ โรงงานต่างๆผลิตสินค้าได้น้อยลง  ภาคบริการก็อาจจะลดลง  ดังนั้น  ประเทศแถบยุโรปมีความเสี่ยงต่อการเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปีหน้า   

 

สำหรับเงินเฟ้อในประเทศไทย ยังไม่ผ่านจุดสูงสุด  มีโอกาสเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผ่านราคาสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้น จนพีคที่ไตรมาส 3 เศรษฐกิจไทยฟื้นช้ากว่าประเทศอื่น  แต่ในปีนี้มีทิศทางการขยายตัวที่ดีขึ้น จากภาคการส่งออก  และบริการที่นักท่องเที่ยวเริ่มกลับเข้ามาในประเทศไทย โดยคาดว่าในปีนี้จะมีนักท่องเที่ยว ประมาณ 10 ล้านคน และในปี  2024 จะมีประมาณ 40 ล้านคนเท่ากับช่วงก่อนโควิด ดังนั้น ภาคการท่องเที่ยวน่าจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง   ทั้งนี้  เงินเฟ้อไทยอาจจะปรับตัวลดลงเร็ว  หากราคาอาหารและพลังงานลงมาสู่ระดับที่เหมาะสม    

 

ปัจจุบันรายได้ของคนไทยติดลบเมื่อหักด้วยเงินเฟ้อ  เพราะรายได้เพิ่มขึ้นช้ามาก ประชากรไทยประมาณ  15 ล้านครัวเรือน มีรายได้เมื่อหักด้วยเงินเฟ้อแล้วเพียงพอต่อรายจ่าย รายได้มากกว่ารายจ่าย แต่อีก 8 ล้านครัวเรือนที่หักลบด้วยเงินเฟ้อ มีรายจ่ายมากกว่ารายได้  ทำให้ประชาชนต้องนำเงินออมมาใช้  หนี้ภาคครัวเรือนของกลุ่ม 15 ล้านครัวเรือนมีหนี้ประมาณ  2.4 ล้านล้านบาท  ส่วนกลุ่ม 8 ล้านครัวเรือนที่รายได้ไม่เพียงพอ  มีหนี้ 2 ล้านล้าน ส่งผลให้ความเปราะบางของหนี้จะเพิ่มมากขึ้น เพราะรายได้ลดลง  ซึ่งอาจจะกระทบต่อสถาบันการเงิน เพราะมีโอกาสเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้   จึงคาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)จะไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแรงเหมือนสหรัฐฯ ซึ่งสะท้อนจากการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งที่ผ่านมา ปรับขึ้น 0.25% เนื่องจากความกังวลเรื่องหนี้ภาคครัวเรือน  ดังนั้น จึงคาดว่า กนง.จะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 0.25 % ไปอีก 3 ครั้งในปีนี้  และหากเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูง ปีหน้าอาจจะปรับขึ้นอีก 2 ครั้ง

 

นายสุกิจ  อุดมศิริกุล   กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย  บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (Innovest X)  เปิดเผยว่า   การลงทุนในหุ้นเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง แต่มีสภาพคล่องสูง  สามารถเลือกบริษัท หรือ Sector  ได้ แม้ภาพรวมเศรษฐกิจโลก หรือภาวะตลาดอาจจะไม่ดี แต่ทุกครั้งที่มีหุ้นลง ก็จะมีหุ้นบางกลุ่มที่ปรับตัวขึ้น   จึงเหมาะสำหรับการนำเงินบางส่วนมาลงทุนเพื่อกระจายความเสี่ยง โดยภาพรวมของตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส3  และ 4  เศรษฐกิจไทยไม่ได้ขยายตัวมากนัก จากตัวเลข GDP ที่คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 3% และดัชนีตลาดหลักทรัพย์มองว่าอยู่ที่ประมาณ 1,650 จุด และกรอบการเคลื่อนไหวสามารถไปได้ถึง  1,750 จุด  ซึ่งตลาดหุ้นไทยได้รับอานิสงค์ของเม็ดเงินจากต่างประเทศ  ตั้งแต่ต้นปีเงินไหลเข้ามาลงทุน ประมาณ 150,000 ล้านบาท ทำให้ดัชนีปรับตัวขึ้น โดยภาพรวมตลาดหุ้นไทย ได้รับผลกระทบจากปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ทั้งเรื่องสงครามรัสเซีย -ยูเครน  ปัญหาเงินเฟ้อสูง   การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย  และสิ่งแวดล้อม  จากภัยแล้ง   ซึ่งราคาหุ้นได้สะท้อนไปในช่วงไตรมาสที่ 3 แล้ว  ที่มีการปรับตัวลงค่อนข้างลึกอยู่ในระดับ 1,500 จุด  อาจเป็นช่วงที่ต่ำสุดของดัชนีหุ้นไทยในปีนี้  แม้ปัจจัยเสี่ยงยังคงมีเข้ามาอย่างต่อเนื่องก็ตาม  ทั้งนี้   Sector ที่ราคาหุ้นปรับตัวเป็นบวก  ได้แก่ กลุ่มท่องเที่ยว  การแพทย์ และขนส่ง   และคาดว่าผลประกอบการน่าจะดีขึ้นต่อเนื่องจากการเปิดเมือง  ส่วน Sector  ที่ได้รับปัจจัยเชิงบวกจากภาวะเงินเฟ้อ  ได้แก่ กลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ อาหาร  และพลังงาน    Sector ที่ได้รับผลทางบวกจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย  ได้แก่ กลุ่มธนาคาร และ ประกัน 

 

“ ทีมงานนักวิเคราะห์ของ InnovestX  ได้ทำการวิเคราะห์หุ้น จาก SET 50 และSET 100 พบว่าแนวโน้มผลประกอบการ กลุ่มท่องเที่ยว ประกัน  อิเล็กทรอนิกส์ อสังหาริมทรัพย์  ธนาคาร  สื่อสาร  ไฟแนนซ์  และโครงสร้างพื้นฐาน  เช่น รถไฟฟ้า ส่วนใหญ่จะมีทิศทางของผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลังเป็นบวก  กลุ่มเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะปรับตัวได้ดี  ”นายสุกิจ  กล่าว

 

นายธณาพล  อิทธินิธิภัค   Director and Head of  Thai Business ,BlackRock  เปิดเผยว่า  นักลงทุนอาจจะต้องอยู่กับความผันผวนด้านการลงทุนอีกพักใหญ่  ทั้งจากปัญหาเงินเฟ้อ   การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารทั่วโลก  และ ความเสี่ยงจากภูมิรัฐศาสตร์ จากความขัดแย้งระหว่างประเทศ จึงแนะนำนักลงทุนปรับพอร์ตให้ Active มากขึ้นตามความผันผวน โดยลงทุนทั้งในหุ้น  ตราสารหนี้  และสินทรัพย์ทางเลือก ที่สามารถเติบโตได้ในระยะยาว เนื่องจากไม่มีสินทรัพย์ใดที่ให้ผลตอบแทนที่ดีได้ตลอดทุกปี  จึงควรที่จะกระจายการลงทุนให้เหมาะสมกับสินทรัพย์ที่หลากหลาย  และต้องมีระยะเวลาในการถือครองสินทรัพย์ที่ไม่สั้นเกินไปเพื่อให้สินทรัพย์เหล่านั้น มีเวลาในการสร้างผลตอบแทนได้

 

ทั้งนี้   BlackRock  แบ่งการลงทุนออกเป็น  2  ช่วงเวลา ได้แก่ กลยุทธ์การลงทุน 1  ปีขึ้นไป   ( Strategy view ) และกลยุทธ์การลงทุน  ประมาณ 3-6 เดือน  (Tactical view) มองว่าการลงทุนในระยะยาวยัง Bull risk  อยู่มาก  ส่วนระยะสั้น และระยะกลาง ยังได้รับแรงกดดันจากเงินเฟ้อ  ที่ส่งผลให้ต้นทุนบริษัทจดทะเบียนต่างๆสูงขึ้น  และกระทบต่อผลประกอบการของบริษัท การลงทุนในระยะยาวคงแนะนำลงทุนในหุ้น  เพราะเป็นตราสารที่ชนะเงินเฟ้อ และเติบโตได้ในระยะยาว  ตราสารหนี้ โดยรวมได้รับผลกระทบจากดอกเบี้ยที่ปรับตัวขึ้น แต่ตราสารหนี้ภาคเอกชน  (Corporate Bond ) บางบริษัทมีกระแสเงินสดดี จ่ายผลตอบแทนสูง  โดยมีกว่า 50% ให้ผลตอบแทนมากกว่า 4 %ต่อปี  ซึ่งจะช่วยลดความผันผวนของตลาดในช่วงระยะสั้นถึงกลางได้ 

              

สำหรับกลยุทธ์การลงทุน ยังคงให้น้ำหนักลงทุนในหุ้น เพราะสามารถเติบโตได้ดีในระยะยาว  พันธบัตรรัฐบาล  ลดน้ำหนักการลงทุนลง   (underweight )  ทั้งในส่วนของ Strategy view  และ  Tactical view     แต่ให้น้ำหนักกับ  Corporate Bond ประเภท Investment Grade  ส่วน Private Asset   ให้เป็น Neutral  นักลงทุนส่วนใหญ่ยัง Under invest   เราเน้นให้เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในกลุ่มนี้  เพื่อช่วยเพิ่มมูลค่าและลดความผันผวนของพอร์ตลงได้    ทั้งนี้ การจัดพอร์ตของ  BlackRock  จะมองไป 5 ปี ข้างหน้า  นำตัวเลขความเสี่ยง  6 ปีย้อนหลัง มาประกอบรวมกัน  แล้วสร้างเป็นโมเดลการจัดพอร์ต แบบเดิมคือในหุ้น 60% และตราสารหนี้ 40 %  แต่ได้ปรับโมเดลใหม่ โดย ลดหุ้น  ลดตราสารหนี้  แล้วเพิ่มสินทรัพย์ทางเลือก 30 % จากตัวอย่างนี้  ส่งผลให้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้น และ ความเสี่ยงลดลง

              

ส่วนธีมการลงทุนจะเน้นในกลุ่มอุตสาหกรรม ดังนี้ 1)กลุ่ม ESG การก้าวสู่สังคมพลังงานสะอาดเช่น รถยนต์ EV ,Circular  Economyการใช้ทรัพยากรธรรมชาติเท่าที่จำเป็นหรือการนำวัสดุกลับมาใช้ใหม่ 2)กลุ่ม Digital  Transformation การเปลี่ยนถ่ายเข้าสู่เทคโนโลยียุคใหม่ ประเทศต่างๆ แข่งขันกันพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อขึ้นมาเป็นผู้นำเศรษฐกิจโลก เช่น การพัฒนาระบบขนส่งในอนาคตที่เชื่อมโยงอุปกรณ์  Electronic ต่างๆเข้าด้วยกัน และ 3 ) Strong Pricing Power การลงทุนในบริษัทที่ขายสินค้าที่จำเป็น บริษัทที่สามารถส่งผ่านต้นทุนไปให้ผู้บริโภคได้โดยที่ไม่กระทบกับยอดขาย เช่นอุตสาหกรรม  Health  care  มีปรับตัวลดลงน้อยกว่ากลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ ช่วยลดความผันผวนในพอร์ตลงทุนได้  และยังมีนโยบายต่างๆออกมาสนับสนุน  ในช่วง5  ปีที่ผ่านมาสหรัฐ เพิ่มงบลงทุนใน Healthcare จาก3  ล้านล้านเหรียญ  เป็น 4 ล้านล้านเหรียญ  ญี่ปุ่นเพิ่มจาก 4 แสน เป็น 6 แสนล้านเหรียญ  ยูโรเพิ่มจาก1.3 ล้านล้านเหรียญ  เป็น 1.4 ล้านล้านเหรียญ  โดยรวมปีที่แล้วงบที่ลงทุน  ใน Healthcare สูงถึง 9 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ   ซึ่งเป็นสิ่งที่หนุนให้อุตสาหกรรม Healthcare มีการเติบโต  นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ  ประชากรโลกประมาณ 7,000 ล้านคน ปัจจุบัน1 ใน6 ของประชากรโลกอายุเกิน 60 ปี หรือประมาณกว่า 1,000 ล้านคน  กลุ่มนี้จะเพิ่มฐานคนใช้บริการในกลุ่ม  Healthcare มากขึ้น  

 

นายอาทิตย์ ทองเจริญ   Head of Thailand Business , Schroders  Investment Management ( Singapore) Ltd. เปิดเผยว่า มุมมองการลงทุนครึ่งปีหลังไปจนถึงปีหน้า มีความกังวลเรื่องคือเงินเฟ้อ และภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession)จากตัวเลขเงินเฟ้อล่าสุดในเดือนกรกฎาคม ค่อนข้างที่จะชะลอลง ทำให้นักลงทุนเริ่มมีความคลายความกังวล   แต่ไปดูตัวเลขเชิงลึก เงินเฟ้อที่ชะลอตัวลงมาจากราคาพลังงานที่ลดลง  ในขณะที่ราคาอาหาร  ต้นทุนสินค้า  และบริการ ยังชะลอตัวลงไม่มากนัก  ถ้าตัดราคาพลังงานออก พบว่า เงินเฟ้อของเดือนกรกฎาคม ยังสูงขึ้นจากเดือนมิถุนายน ประมาณ 0.4%ดังนั้น เงินเฟ้อ อาจจะยังไม่ได้ชะลอตัวลง   และปัจจัยที่สำคัญของต้นทุนเงินเฟ้อ คือราคาสินค้า และบริการ  ส่วนค่าแรง ยังไม่ได้ปรับลดลงมากนัก จึงมองว่าอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูง และน่าจะยังสูงต่อเนื่อง  จึงยังคงมีความเสี่ยงการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย

             

พอร์ตการลงทุนของ Schroders  จะเป็นการจัดพอร์ตแบบตั้งรับ ในกรณีที่มีความเสี่ยงเข้ามา  พอร์ตลงทุนจะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก แต่ในขณะเดียวกันหากไม่เกิด Recession ก็ยังสามารถที่จะปรับพอร์ต ให้ตอบสนองกับอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจได้  ปัจจุบันนี้  ลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้น (Underweight) เพราะกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน แม้ไตรมาสที่ผ่านมาผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนจะออกมาค่อนข้างดี แต่เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนสูงขึ้น  จึงคาดว่าประกอบการในไตรมาส 3  -  4  น่าจะเริ่มชะลอตัวลง อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่นหุ้นสหรัฐและจีน ยังคงมีความน่าสนใจมาก ส่วนตราสารหนี้ภาครัฐ มีการปรับลดน้ำหนักการลงทุนเช่นกัน เนื่องจากราคาสูง และมีอายุตราสารที่ยาว  เมื่อดอกเบี้ยขึ้นจะได้รับผลกระทบในเชิงลบค่อนข้างมาก   

 

โดยเฉพาะเมื่ออัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูงที่ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐยังคงต้องปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย แต่ให้น้ำหนักการลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชนสหรัฐ ประเภท Investment grade  และตราสารหนี้ของตลาดเกิดใหม่ ที่เป็นสกุลเงินดอลล่าร์ เพราะเมื่อเทียบกับตราสารหนี้ภาครัฐของต่างประเทศแล้ว  ระดับราคาของตราสารหนี้เอกชนยังคงอยู่ในระดับที่น่าสนใจ ส่วนสินค้าโภคภัณฑ์  ให้น้ำหนัก ทองคำ   สามารถป้องกันความเสี่ยงในภาวะที่เกิด Recession ได้  นอกจากนี้  พิจารณาเลือกสินทรัพย์ประเภท Private  Asset   เพราะช่วยลดความผันผวนของพอร์ตได้  เน้นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการบริโภค และ  Healthcare  ส่วน Private Dept  หรือหุ้นเอกชนนอกตลาด  เลือกกลุ่มที่ได้รับดอกเบี้ยในระดับที่เป็นอัตราลอยตัว กลุ่มอสังหาริมทรัพย์  ที่มีกระแสเงินสดดี

              

สำหรับธีมการลงทุน Schroders ให้ความสำคัญกับการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ตอบสนองและใส่ใจต่อสังคมที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม และการทำความดี โดยเลือกลงทุนในกองทุนที่ยั่งยืน (Sustainability) ซึ่งระยะยาวมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูง โดยมองข้ามความผันผวนระยะสั้น  ธีมการลงทุนที่น่าสนใจ 5 แบบประกอบด้วย  1) Clean  energy หรือ พลังงานสะอาด  จะได้รับความสนใจเนื่องจากว่าทุกคน รวมถึงภาครัฐให้ความใส่ใจเรื่องของการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาด จะมีเม็ดเงินไหลเข้ามาและส่งผลในเชิงบวกระยะยาวมากขึ้น 2) กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการใช้พลังงานแบบมีประสิทธิภาพ เช่น วัสดุอุปกรณ์ก่อสร้างที่ช่วยลดการใช้พลังงาน   หรือหลอดประหยัดพลังงาน   แผงพลังงานไฟฟ้า เป็นต้น 3)กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม เช่น การจัดการทรัพยากรน้ำ  การกำจัดของเสีย  ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ Waste  management ของรีไซเคิล์ต่างๆ  น่าจะได้รับผลประโยชน์ในระยะยาวได้มากขึ้น 4) Low carbon   leaders  เป็นกลุ่มที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับต่ำ  และ 5 ) Sustainnable  Transport   ระบบการขนส่งที่ใช้พลังงานสะอาด  เช่นรถยนต์ไฟฟ้า หรือ รถไฟไฟฟ้า เป็นต้น กลุ่มนี้จะไม่ได้มุ่งเน้นไปที่ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น แต่จะเน้นลงทุนในองค์ประกอบ ที่ใช้เป็นวัตถุในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า  เช่น แผงวงจรสำหรับแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า เป็นต้น