กคช. แถลงผลงานปี 65 โชว์ผลประเมินคุณธรรมและความโปร่งใส อันดับ 1 ของ พม. ต่อเนื่อง เดินหน้าพัฒนา ที่อยู่อาศัย เน้นบ้านเช่าให้ประชาชนเข้าถึง หนุนอาชีพสร้างรายได้ ลดรายจ่าย ส่งเสริมคุณภาพชีวิต พร้อมแก้ไข Sunk cost รับสังคมผู้สูงอายุ

   เมื่อ : 03 ก.ย. 2565

นายทวีพงษ์ วิชัยดิษฐ ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ เปิดเผยถึงความก้าวหน้าผลการดำเนินงานของการเคหะแห่งชาติ ประจำปี 2565 ว่า การเคหะแห่งชาติเป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจภายใต้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้ดำเนินนโยบายสำคัญของรัฐบาลตามแนวทางของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และนายจุติ  ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ซึ่งนับตั้งแต่รับตำแหน่ง ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2563 เป็นต้นมา รวมระยะเวลาประมาณสองปีเศษ ตนมีความตั้งใจจริงที่จะเดินหน้าขับเคลื่อนการดำเนินงานของการเคหะแห่งชาติในทุกมิติ เพื่อให้การเคหะแห่งชาติสามารถเป็นที่พึ่งให้กับผู้มีรายได้น้อยและกลุ่มเปราะบางในด้านที่อยู่อาศัย รวมไปถึงการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัย ในด้านสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม พร้อมกันนั้นยังมุ่งมั่นสร้างธรรมาภิบาลและความโปร่งใสให้แก่องค์กร ด้วยการปรับปรุงโครงสร้างองค์กร ปรับปรุงกฎระเบียบ และข้อบังคับต่าง ๆ ให้มีความสอดคล้องกับยุคสมัย และเกิดความคล่องตัวในการทำงานมากยิ่งขึ้น สามารถให้บริการประชาชนได้อย่างรวดเร็ว ตลอดจนปรับปรุงเว็บไซต์องค์กรให้ทันสมัย ปรับปรุงช่องทางการร้องเรียนให้มี 6 ช่องทาง พร้อมด้วยการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ปี 2565 การเคหะแห่งชาติได้คะแนนผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ หรือ ITA 97.96 คะแนน จาก 100 คะแนนเต็ม เพิ่มสูงขึ้น 0.03 คะแนน จากปี 2564 ที่ได้ 97.93 คะแนน ถือเป็นอันดับที่ 1 ของหน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) และอันดับที่ 5 ของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจทั้งหมดที่เข้าร่วมการประเมินจำนวน 51 แห่ง รวมทั้งได้ระดับผลการประเมิน AA ในระดับประเทศ

 

 

“ผมขอขอบคุณทีมผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงานการเคหะแห่งชาติทุกคน ที่มีส่วนช่วยในการเผยแพร่ข้อมูลบนเว็บไซต์ของหน่วยงาน ให้บริการประชาชนอย่างเท่าเทียมกันและมีประสิทธิภาพ รวมทั้งมีการพัฒนาการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้การเคหะแห่งชาติได้รับผลประเมิน ITA อยู่ในระดับ AA ของประเทศ”

 

 

 

นายทวีพงษ์  วิชัยดิษฐ กล่าวถึงความก้าวหน้าผลการดำเนินโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยของการเคหะแห่งชาตินับตั้งแต่ปี 2519 ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2565 ได้พัฒนาที่อยู่อาศัยไปแล้ว 746,616 หน่วย นับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 การเคหะแห่งชาติได้ปรับเปลี่ยนนโยบายจากการสร้างบ้านเพื่อขาย มาเน้นการสร้างบ้านเช่าให้มากขึ้น เพื่อให้ผู้มีรายได้น้อยและกลุ่มเปราะบางสามารถเข้าถึงที่อยู่อาศัยในอัตราค่าเช่าที่รับภาระได้อย่างทั่วถึง อย่างเช่น โครงการบ้านเคหะสุขประชา ซึ่งเป็นบ้านเช่าพร้อมอาชีพ และโครงการบ้านเคหะสุขเกษมที่นำโครงการบ้านเอื้ออาทรเดิมที่เป็น Sunk cost มาปรับเป็นบ้านเช่าสำหรับผู้สูงอายุและข้าราชการวัยเกษียณ รวมทั้งโครงการอาคารเช่าที่สร้างขึ้นใหม่ และการรับคืนอาคารเช่าเหมาจากเอกชนมาบริหารจัดการเอง เพื่อลดภาระ
ค่าเช่าและค่าสาธารณูปโภคให้แก่ผู้อยู่อาศัยไปพร้อมกัน

 

สำหรับความคืบหน้าของโครงการบ้านเคหะสุขประชา “บ้านเช่าพร้อมอาชีพ” ได้จัดสร้างโครงการนำร่อง 2 โครงการได้แก่ โครงการบ้านเคหะสุขประชาร่มเกล้า 270 หน่วย ก่อสร้างได้ 95.70% ขณะที่โครงการบ้านเคหะสุขประชาฉลองกรุง 302 หน่วย ก่อสร้างได้ 93% นอกจากนี้ ยังได้ลงนามในสัญญาเช่าที่ดินร่วมกับบริษัท เคหะสุขประชา จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ เพื่อก่อสร้างและประกอบการค้าเชิงพาณิชย์พร้อมบริหารพื้นที่ (ตลาด) โครงการบ้านเคหะสุขประชาฉลองกรุง เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2565 ขนาดเนื้อที่ประมาณ 3-0-0 ไร่ มีกำหนดเวลาเช่า 15 ปี นับตั้งแต่วันที่ 20 พฤษภาคม 2565 ถึงวันที่ 19 พฤษภาคม 2580 นอกจากนี้ การเคหะแห่งชาติมอบหมายให้ บริษัท โชติจินดา คอนซัลแตนท์ จํากัด ศึกษาวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของโครงการบ้านเคหะสุขประชา โดยวิธีการร่วมลงทุนกับภาคเอกชน (PPP) จำนวน 3 โครงการ ได้แก่ โครงการลำลูกกา คลอง 12 จังหวัดปทุมธานี โครงการวังน้อย 
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และโครงการธรรมศาลา จังหวัดนครปฐม

 

 

ขณะที่ โครงการบ้านเคหะสุขเกษม “บ้านเช่าสำหรับผู้สูงอายุและข้าราชการวัยเกษียณ” พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดโครงการบ้านเคหะสุขเกษมจังหวัดสมุทรปราการ (เทพารักษ์) เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565 ณ ที่ตั้งโครงการ ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่ประมาณ 126.5 ไร่ ซอยที่ดินไทย 
ถนนเทพารักษ์ ตำบลบางพลีใหญ่ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ แบ่งการพัฒนาโครงการฯ ออกเป็น 4 ระยะ รวมทั้งสิ้น 4,089 หน่วย มีรูปแบบอาคารเป็นอาคารชุดสูง 5 ชั้น (มีลิฟต์ทุกอาคาร) ขนาดพื้นที่ใช้สอยประมาณ 33 ตารางเมตร (อาคารละ 40 หน่วย) และขนาดพื้นที่ใช้สอยประมาณ 23 ตารางเมตร (อาคารละ 5 หน่วย) ออกแบบโครงการภายใต้หลักอารยสถาปัตย์ (Universal Design) โดยคำนึงถึงการใช้งานของผู้สูงอายุเป็นสำคัญ 

 

นอกจากนี้ การเคหะแห่งชาติยังเดินหน้า โครงการอาคารเช่าสำหรับผู้มีรายได้น้อย จัดสร้างเป็นอาคารพักอาศัยสูง 4 ชั้น ขนาดห้องพักอาศัยประมาณ 28 และ 30 ตารางเมตร สำหรับห้องพักอาศัยชั้นที่ 1 ได้รับการออกแบบโดยคำนึงถึงหลักอารยสถาปัตย์ (Universal Design) พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวก เพื่อให้ผู้สูงอายุหรือคนพิการสามารถอยู่อาศัยได้อย่างสะดวกสบายและพึ่งพาตนเองได้ อัตราค่าเช่าตั้งแต่ 1,400 - 2,500 บาท (ขึ้นอยู่กับที่ตั้งโครงการฯ) ปัจจุบันก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดให้ผู้ที่สนใจทำสัญญาพร้อมเข้าอยู่ได้ทันที จำนวน 6 โครงการ รวม 1,164 หน่วย โครงการฯ ที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ และอยู่ระหว่างให้ประชาชนลงทะเบียนจองสิทธิเช่า จำนวน 2 โครงการ รวม 157 หน่วย และโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง จำนวน 9 โครงการ รวม 3,813 หน่วย

          

 

ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า การเคหะแห่งชาติยังมีแนวนโยบายที่จะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายที่อยู่อาศัยให้กับประชาชน จึงได้ดำเนินการขอรับคืนโครงการอาคารเช่า จากบริษัทเอกชนที่ครบสัญญาแล้วกลับมาบริหารเองเพื่อให้ประชาชนที่เช่าอาศัยในโครงการของการเคหะแห่งชาติได้จ่ายค่าเช่าโดยตรงกับการเคหะแห่งชาติซึ่งทำให้ค่าเช่าลดลง โดยมีเป้าหมายการรับคืนอาคารเช่าเหมาจากเอกชนไม่รวมหน่วยงานของรัฐ จำนวน 60 สัญญา 
รวม 32,632 หน่วย ปัจจุบันมีบริษัทที่หมดสัญญาและต้องส่งมอบอาคารคืนให้กับการเคหะแห่งชาติ จำนวน 52 สัญญา 
รวม 27,989 หน่วย ซึ่งมีผู้เช่ารายย่อยมาทำสัญญากับการเคหะแห่งชาติ โดยตรงแล้ว จำนวน 10,303 หน่วย สำหรับประโยชน์ที่ประชาชนได้รับเมื่อการเคหะแห่งชาตินำอาคารเช่ากลับมาบริหารเองจะมีทั้งการจ่ายค่าเช่าถูกลงกว่าเดิม 411 - 6,243 บาท/หน่วย/เดือน คิดเป็นลดลงเฉลี่ย 54 % จ่ายค่าไฟลดลงเฉลี่ย 32 บาท/หน่วย/เดือน จ่ายค่าน้ำลดลงเฉลี่ย 15 บาท/หน่วย/เดือน และไม่ต้องจ่ายค่าเก็บขยะ ทั้งนี้ การเคหะแห่งชาติได้จัดตั้ง “ศูนย์บริการประชาชน โครงการอาคารเช่า การเคหะแห่งชาติ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์” เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้เช่าอย่างครบวงจร ตั้งแต่การลงทะเบียน การทำสัญญา การชำระเงิน หรือการติดต่อสอบถามต่าง ๆ รวมถึงการดูแลผู้อยู่อาศัยให้ได้รับความสะดวกสบายยิ่งขึ้น

 

โครงการสินเชื่อเพื่อการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย เป็นอีกหนึ่งโครงการสำคัญเพื่อช่วยให้ประชาชนเข้าถึงที่อยู่อาศัย โดยเป็น “เครื่องมือทางการเงิน” ช่วยลูกค้าที่ซื้อบ้านของการเคหะแห่งชาติแต่ไม่ผ่านการพิจารณาสินเชื่อจากสถาบันการเงิน สามารถขอสินเชื่อผ่านโครงการดังกล่าวได้ โดยจะมีคณะกรรมการบริหารการให้สินเชื่อเพื่อการพัฒนาที่อยู่อาศัย (คบส.) ของการเคหะแห่งชาติเป็นผู้พิจารณาให้สินเชื่อกับลูกค้า โดยวงเงินสะสม
ที่อนุมัติแล้ว (ปีงบประมาณ 2563 - พ.ค. 2565) 966.825 ลบ. รวม 1,490 หน่วย (ลูกค้าทั่วไป 1,307 ราย และกลุ่มเปราะบาง 183 ราย) คิดเป็น 101% ซึ่งวงเงินเช่าซื้อที่เกินวงเงินที่ได้รับจัดสรรงบประมาณ จำนวน 9.596 ล้านบาท ใช้จากรายรับค่างวดค่าเช่าซื้อ 

 

 

ส่วนผลการดำเนินงานด้านการขายโครงการที่อยู่อาศัยและการส่งมอบอาคารในปีงบประมาณ 2565 การเคหะแห่งชาติตั้งเป้าหมายขายจำนวน 6,203 หน่วย ประกอบด้วย โครงการบ้านเอื้ออาทร 2,108 หน่วย โครงการเคหะชุมชน 121 หน่วย โครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยชุดที่ 1 ปี 2557 - 2560 จำนวน 3,877 หน่วย โครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้า TOD จำนวน 30 หน่วย โครงการบ้านสวัสดิการข้าราชการ 49 หน่วย และโครงการบ้านเคหะกตัญญูคลองหลวง 1 จำนวน 18 หน่วย ปัจจุบันมียอดขายสะสม ณ เดือนกรกฎาคม 2565 ทำยอดขายได้ 7,793 หน่วย มากกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 1,590 หน่วย สำหรับยอดการส่งมอบที่อยู่อาศัยตั้งเป้าหมาย จำนวน 5,621 หน่วย ส่งมอบให้กับลูกค้าแล้ว 5,650 หน่วย มากกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 29 หน่วย

 

นอกจากนั้น การเคหะแห่งชาติยังมีนโยบายช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยออกมาตรการเยียวยาช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบ ทั้งอัตราดอกเบี้ยเช่าซื้อพิเศษ ลูกค้าเดิม เริ่มตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2564 - 30 มิถุนายน 2565 ปรับโครงสร้างหนี้ ลดอัตราดอกเบี้ยเช่าซื้อเหลือ 6.50 % ทุกประเภทสัญญา ขณะที่ลูกค้าใหม่ที่ไม่ผ่านการพิจารณาสินเชื่อธนาคาร สามารถยื่นขอสินเชื่อทำสัญญาเช่าซื้อกับโครงการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย ในอัตราดอกเบี้ยที่ค่อนข้างต่ำมาก ปีที่ 1-4 เพียง 1.50% เท่านั้น อีกทั้งยังมีการลดราคาขายพิเศษ (Shock Price) โครงการบ้านเอื้ออาทร 56 โครงการ ราคาขายเงินสดพิเศษหน่วยละ 250,000 - 520,000 บาท  รวมถึงบ้านเช่าราคาพิเศษ ลูกค้าเดิม ปรับลดอัตราค่าเช่า 10% จากอัตราค่าเช่าปกติ ให้กับผู้เช่ารายย่อยในโครงการอาคารเช่าที่รับคืนจากบริษัทเอกชน จำนวน 32 สัญญา ส่วนลูกค้าใหม่ บ้านเช่าราคาพิเศษ 88 โครงการ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 30 กันยายน 2565 อัตราค่าเช่าปีแรก กรณีบ้านพร้อมที่ดิน อัตราค่าเช่า 1,200 บาท/เดือน ห้องชุด 30-40 ตารางเมตร ชั้นที่ 1-2 อัตราค่าเช่า 1,200 บาท/เดือน ชั้นที่ 3-5 อัตราค่าเช่า 999 บาท/เดือน ห้องชุด 24 ตารางเมตร อัตราค่าเช่า 599 บาท/เดือน

 

 

นายทวีพงษ์ วิชัยดิษฐ กล่าวโดยสรุปว่า การเคหะแห่งชาติขับเคลื่อนทุกโครงการอย่างเต็มกำลังความสามารถ ส่วนใหญ่จะมุ่งเป้าไปที่การแก้ปัญหาด้านที่อยู่อาศัยและคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนเป็นหลัก เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และนายจุติ  ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ที่ต้องการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ทั้งการเร่งบรรจุผู้เช่ารายย่อยจากโครงการอาคารเช่าเหมาเดิมให้ได้ตามแผนเพื่อเพิ่มรายได้ เร่งรัดการจัดเก็บหนี้ค้างชำระ และบริหารจัดการไม่ให้มีหนี้ค้างชำระเกิน 3 เดือน การเร่งก่อสร้างโครงการให้แล้วเสร็จพร้อมเอกสารสิทธิ์ รวมทั้งบริหารจัดการอาคารคงเหลือ โดยขายโครงการเชิงรุก (Direct Sale) อย่างต่อเนื่อง ด้วยการขายโครงการยกล็อตให้กับหน่วยงานของรัฐและเอกชน ตลอดจนจัดโปรโมชั่นส่งเสริมการขาย อาทิ แถมมุ้งลวดเหล็กดัด ฟรีค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ 
และลดราคาขายสำหรับโครงการที่ขายยาก (Shock Price) รวมถึงเร่งการบริหารทรัพย์สินที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และหาแนวทางการเพิ่มรายได้จากการจัดประโยชน์สัญญาใหม่ให้เป็นไปตามเป้าหมาย ตลอดจนดำเนินโครงการ บ้านเคหะสุขประชาด้วยการร่วมทุนกับภาคเอกชน (PPP) ซึ่งช่วงแรกของการดำเนินงานจะนำที่ดินของการเคหะแห่งชาติไปพัฒนาซึ่งจะ Generate รายได้ค่อนข้างสูง ทั้งนี้ ช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา ข่าวสารต่าง ๆ ของการเคหะแห่งชาติค่อนข้างหลากหลาย เพราะเกี่ยวเนื่องด้านที่อยู่อาศัยและคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนทั่วประเทศ อาจจะมีข้อมูลบางอย่างถูกนำไปเผยแพร่ไม่ครบถ้วนหรือไม่ตรงตามข้อเท็จจริง ดังนั้นหากประชาชนต้องการทราบข้อมูลเรื่องใดสามารถสอบถามโดยตรงได้ที่การเคหะแห่งชาติ

 

 

“เรายังคงมุ่งมั่นพัฒนาและสร้างโอกาสในการเข้าถึงที่อยู่อาศัยของผู้มีรายได้น้อยและกลุ่มเปราะบาง รวมไปถึงการพัฒนาคุณภาพชีวิตในด้านสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมให้ผู้อยู่อาศัยในชุมชนของการเคหะแห่งชาติทั่วประเทศ”ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ กล่าวย้ำในที่สุด